โปรไบโอติก พรีไบโอติก มีประโยชน์อย่างไร
โปรไบโอติก (Probiotics)
โปรไบโอติก (Probiotics) คือ จุลินทรีย์มีชีวิตและเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีอยู่ในอาหาร เมื่อเราบริโภคเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการแล้วจะส่งผลดีให้สุขภาพ คำว่า “โปรไบโอติก” เป็นคำที่มา จากภาษากรีก มีความหมายว่า “เพื่อชีวิต” โปรไบโอติกพบได้ในอาหารหมักดอง เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต แหนม กิมจิ แตงกวาดอง นอกจากในอาหารหมักดองที่กล่าวมา แล้วเรายังสามารถพบโปรไบโอติกใน ชีส Dark Chocolate ซุปมิโซะ อีกด้วย โปรไบโอติก (Probiotics) มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ชนิดที่พบว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและมีการนำมาบริโภคกันอย่างแพร่หลาย คือ แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) เพราะว่าจุลินทรีย์ทั้งสองชนิดนี้เราสามารถพบได้ในร่างกายอยู่แล้ว โดยแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) พบได้ในลำไส้เล็กและบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) พบได้ที่บริเวณลำไส้ใหญ่
จุลินทรีย์โปรไบโอติกที่อาศัยอยู่ในร่างกายเรามีกี่ชนิด?
โดยปกติแล้วร่างกายคนเรานั้นมีจุลินทรีย์อยู่ในร่างกายและผิวหนังหลายล้านชนิดอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ระบบทางเดินอาหาร อย่างลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ เราจะพบจุลินทรีย์จำนวนมากที่สุด ซึ่งจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเรานั้น สามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ
1.จุลินทรีย์ก่อโรค จุลินทรีย์ชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นจุลินทรีย์ที่ร่างกายรับเข้ามาจากภายนอก ทั้งจากอาหารและอากาศ เช่น วิบริโอ พาราฮีโม ไลติคัส (V.cholerae) ที่เป็นสาเหตุของโรคอหิวาตกโรค ชิเจลลา (Shigella) ที่ทำให้เกิดโรคบิด เป็นต้น เมื่อจุลินทรีย์ชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่น้อย ร่างกายจะสามารถขจัดออกไปได้จึงไม่ก่อให้เกิดโรคขึ้น แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินกว่าที่จะกำจัดออกได้โดยเฉพาะบริเวณทางเดินอาหารจะทำให้เกิดโรค เช่น อหิวาตกโรค โรคท้องเสีย อาหารเป็นพิษ โรคบิด เป็นต้น
2.จุลินทรีย์กลุ่มก่อการอักเสบหรือกลุ่มฉวยโอกาส เป็นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจุลินทรีย์ชนิดดี จึงไม่ส่งผลเสียหรือสร้างอันตรายต่อร่างกาย แต่ทว่าเมื่อใดก็ตามที่จุลินทรีย์ชนิดดีมีปริมาณน้อยกว่าจุลินทรีย์กลุ่มนี้แล้ว จุลินทรีย์กลุ่มนี้ก็จะแสดงผลที่เป็นอันตายต่อร่างกายทันที โดยการทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อ Pseudomonas การติดเชื้อ Staphylococcus ที่ทำให้เกิดตุ่มหนองตามผิวหนัง เป็นต้น
3.จุลินทรีย์ที่ทำหน้าที่เป็นกลาง คือ จุลินทรีย์ที่สามารถทำหน้าที่ทั้งป้องกันไม่ให้เกิดโรคและรอโอกาสที่จะทำให้เกิดโรค ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์และปริมาณของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในขณะนั้น เช่น เชื้ออีโคไล (E.Coli) ทำหน้าที่ในการช่วยย่อยอาหารภายในลำไส้เมื่อมีในปริมาณน้อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคท้องเสียได้เมื่อมีปริมาณมากกว่าจุลินทรีย์ชนิดดี
4.จุลินทรีย์ชนิดดีหรือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะทำหน้าที่ในการช่วยปกป้องดูแลทางเดินอาหารไม่ให้เชื้อโรคหรือจุลินทรีย์กลุ่มที่ก่อโรคเข้ามาทำร้ายลำไส้ได้ นับว่าจุลินทรีย์ชนิดนี้เป็นชนิดที่ทำให้เรามีสุขภาพที่ดี เช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ยูแบคทีเรีย (Eubacteria) เป็นต้น
ร่างกายของคนเรานั้นโดยเฉพาะที่ลำไส้จะมีจุลินทรีย์อาศัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราเรียกจุลินทรีย์เหล่านี้ว่า “จุลินทรีย์เจ้าถิ่น” (Normalfloral) จุลินทรีย์เจ้าถิ่นมีทั้งจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และจุลินทรีย์ที่อาจก่อโทษได้ทั้งสองชนิด โดยโปรไบโอติกจัดเป็นจุลินทรีย์เจ้าถิ่นชนิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งประโยชน์ของโปรไบโอติกต่อสุขภาพมีดังนี้
ร่างกายของคนเรานั้นโดยเฉพาะที่ลำไส้จะมีจุลินทรีย์โปรไบโอติกอาศัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราเรียกจุลินทรีย์เหล่านี้ว่า “จุลินทรีย์เจ้าถิ่น” (NORMALFLORAL) จุลินทรีย์เจ้าถิ่นมีทั้งจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และจุลินทรีย์ที่อาจก่อโทษได้ทั้งสองชนิด โดยโปรไบโอติกจัดเป็นจุลินทรีย์เจ้าถิ่นชนิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ประโยชน์ของโปรไบโอติก (Probiotics) ต่อสุขภาพ
1.ป้องกันโรคทางเดินอาหารในทารก ทารกที่เพิ่งคลอดจะมีภูมิต้านทานโรคน้อยโดยเฉพาะบริเวณลำไส้และกระเพาะอาหารทำให้มีเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารที่รุนแรงได้ ดังนั้นการให้ทารกดื่มนมแม่จะช่วยเสริมภูมิต้านทานให้กับทารกได้ เพราะว่าในน้ำนมแม่มีจุลินทรีย์บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่มีประโยชน์ต่อทารก โดยบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) จะเข้าไปยึดเกาะกับผนังของลำไส้เล็กเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ส่งผลให้ลำไส้เล็กมีความแข็งแรงต้านทานต่อโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้ดี และเข้าไปกระตุ้นการสร้างเมือกที่ใช้ในการจับเชื้อไวรัสโรต้าให้มีความหนาขึ้น ทำให้มีโอกาสจับเชื้อโรคได้มากขึ้น จึงลดความเสี่ยงในเป็นโรคท้องเสียชนิดรุนแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัสโรต้าได้เป็นอย่างดี รวมถึงการท้องเสียที่เกิดจากเชื้อ Enterovirus ที่พบได้ในเด็กด้วย
2.ป้องกันโรคลำไส้อักเสบโดยโปรไบโอติกจะเข้าไปยึดเกาะกับเนื้อเยื่อบนผนังลำไส้เอาไว้ ทำให้ไม่มีช่องว่างหรือพื้นที่ว่างให้เชื้อโรคร้ายเข้ามาทำร้ายผนังลำไส้ได้ ผนังลำไส้จึงไม่เกิดการอักเสบ แต่ถ้าร่างกายมีปริมาณโปรไบโอติกน้อยไม่สามารถยึดเกาะกับเนื้อเยื่อของผนังลำไส้ได้ทั้งหมด เมื่อร่างกายรับเชื้อที่ก่อโรคเข้ามา เชื้อก่อโรคก็จะเข้าไปจับกับผนังลำไส้บริเวณที่ว่างอยู่ ทำให้เนื้อเยื่อในบริเวณนั้นจนเกิดการระคายเคืองหรืออักเสบขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุของโรคลำไส้อักเสบ
3.ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค ทั้งที่อยู่ในร่างกายและที่ร่างกายรับเข้ามาจากภายนอก โดยการที่โปรไบโอติกจะเข้าไปแย่งอาหารของจุลินทรีย์ก่อโรคไปจนหมด ทำให้จุลินทรีย์ก่อโรคขาดอาหารส่งผลให้จุลินทรีย์ก่อโรคหยุดการเจริญเติบโตและตายไปในที่สุด นอกจากแย่งอาหารของจุลินทรีย์ก่อโรคแล้ว โปรไบโอติกยังผลิตกรดอะซิติกและแลคติกขึ้นมา เพื่อควบคุมระดับความกรดเป็นกรด – ด่างภายในลำไส้ให้ไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค จุลินทรีย์ก่อโรคจึงมีปริมาณลดลงไม่สามารถส่งผลหรือก่อโรคภายในร่างกายได้
4.ทำลายจุลินทรีย์ก่อโรค โปรไบโอติกจะปล่อยสารแบคเทอริโอซิน (Bacteriocin) ที่มีคุณสมบัติทำลายเชื้อแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์ก่อโรค โดยสารแบคเทอริโอซิน (Bacteriocin) จะเข้าไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของจุลินทรีย์ก่อโรคทำให้เซลล์เกิดการสูญเสียสารอาหารและน้ำ ส่งผลให้จุลินทรีย์ก่อโรคเสื่อสภาพและตายในที่สุด จุลินทรีย์ก่อโรคจึงไม่สามารถทำให้เกิดโรคในร่างกายได้ จึงป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
5.ช่วยดูดซึมสารอาหาร โปรไบโอติกจะผลิตเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร เช่น เอนไซม์ไลเปส (Lipase) ที่ย่อยไขมันให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล เอนไซม์โปติเอส (Proteases) ช่วยในการย่อยโปรตีนให้มีขนาดเล็กลง เป็นต้น เมื่อไขมันและโปรตีนมีขนาดที่เล็กลงจึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้มากขึ้น
6.เสริมสร้างภูมิต้านทาน โปรไบโอติกที่ยึดเกาะอยู่กับเนื้อเยื่อของผนังลำไส้จะเข้าไปกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ในชั้นใต้ผิวของผนังลำไส้ (Gut-Associated Lymphocyte Tissue, GALT) ทำให้ต่อมน้ำเหลืองมีการสร้างสารป้องกันหรือสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายให้อยู่ในระดับที่มีความสมดุล ส่งผลให้เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าไปกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำการจับตัวกับเชื้อโรคได้ดีขึ้น ทำให้เชื้อโรคโดนทำลายอย่างมีประสิทธิภาพ
7.ลดระดับคอเลสเตอรอล โปรไบโอติกชนิด Lactobacillus Acidophilus ที่อยู่ในกลุ่มของบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) จะเข้าไปช่วยย่อยคอเลสเตอรอลและยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลที่อยู่ในลำไส้ และทำการขับเอาคอเลสเตอรอลออกมากับอุจจาระจึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
8.ป้องกันท้องผูก เนื่องจากจุลนิทรีย์บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) สามารถผลิตกรดอินทรีย์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้มีการบีบตัวมากขึ้นและยังเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับอุจจาระ ทำให้อุจจาระมีความอ่อนนุ่ม สามารถขับถ่ายออกมาได้ง่าย จึงสามารถป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี
9.ลดอาการข้างเคียงจากยาปฏิชีวะนะ การทานยาปฏิชีวะนะหรือยาฆ่าเชื้อเข้าไป นอกจากยาจะเข้าไปฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคแล้ว ยาปฏิชีวะนะยังฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดภายในร่างกายทั้งจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ ส่งผลให้เมื่อรับประทานยาปฏิชีวะนะอาจจะมีอาการท้องเสียเกิดขึ้นเป็นอาการข้างเคียงได้ การรับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติกเข้าไปจะความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวได้ เพราะการทานโปรไบโอติกเข้าไปจะช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกายป้องกันการท้องเสียได้
10.ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โปรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ป้องกันการอักเสบหรือติดเชื้อของเซลล์ภายในร่างกาย เมื่อเซลล์ไม่ได้รับการทำร้ายจากเชื้อโรคเซลล์ย่อมมีความแข็งแรงโดยเฉพาะดีเอ็นเอของเซลล์จะคงอยู่เหมือนเดิมไม่เกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง และเมื่อไม่มีการสะสมของเสียในลำไส้จึงไม่มีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นทำให้ผนังลำไส้ไม่เกิดการอักเสบซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ ดังนั้นการที่ร่างกายได้รับโปรไบโอติย่อมลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
การได้รับโปรไบโอติกจำนวนมากเกินไปก็ไม่ส่งผลต่อร่างกาย หรือว่าการได้รับโปรไบโอติกในขณะที่ร่างกายอยู่ในสภาวะภูมิคุ้มกันลดลง
การได้รับโปรไบโอติกจำนวนมากเกินไปก็ไม่ส่งผลต่อร่างกาย หรือว่าการได้รับโปรไบโอติกในขณะที่ร่างกายอยู่ในสภาวะภูมิคุ้มกันลดลง เช่น ช่วงที่ได้รับเคมีบำบัด ช่วงที่ร่างกายมีเม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นต้น ช่วงเวลาที่ภูมิต้านทานต่ำ ถ้าเราได้รับโปรไบโอติกในปริมาณที่มากอาจทำให้เกิดภาวะติดเชื้อซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โปรไบโอติกจัดเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ก็ต่อเมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในขณะนั้น ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายเราควรเลือกบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของโปรไบโอติกเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ
นอกจากโปรไบโอติกแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ควบคู่กับโปรไบโอติกนั่นคือ พรีไบโอติก (Prebiotic) เพราะถ้าขาดสิ่งนี้ไปโปรไบโอติกก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
พรีไบโอติก (Prebiotic) คือ อาหารที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กได้ จึงไม่สามารถดูดซึมในระบบทางเดินอาหารได้ แต่จะส่งไปเป็นอาหารของแบคทีเรียโปรไบโอติก กล่าวคือ พรีไบโอติกเป็นอาหารของของโปรไบโอติกนั่นเอง ซึ่งอาหารกลุ่มนี้จะเป็นคาร์โบไฮเดรตสายสั้นๆ หรือโอลิโกแซคคาร์ไรด์ (Oligosaccharides) เช่น ฟลักโทโอลิโกแซคคาร์ไรด์ (Fructo-Oligosaccharides) กาแล็กโทโอลิโกแซคคาร์ไรด์ (Galacto-Oligosaccharides) โอลิโกแซคคาร์ไรด์เชิงซ้อน (Complex Oligosaccharides) ที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ เป็นต้น รวมถึงอินูลิน (Inulin) ด้วย ซึ่งพรีไบโอติกจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์โปรไบโอติก ทั้งแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) แล้ว พรีไบโอติกยังมีประโยชน์ต่อร่างกายคล้ายคลึงกับโปรไบโอติก คือ
ประโยชน์ของพรีไบโอติก
1.ลดไขมันในเลือด อินนูลินเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำมีรสหวานคล้ายน้ำตาลแต่ไม่ให้พลังงานและร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ เนื่องจากอินนูลินไม่สามารถย่อยที่กระเพาะและลำไส้เล็กจึงไม่สามารถดูดซึมได้ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับน้ำตาลจากอินนูลินเข้าสู่ร่างกาย จึงช่วยลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดและยงช่วยลดการดูดซึมไขมันที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กได้ด้วย โดยที่อินนูลินจะดูดซับน้ำและจับตัวกันเป็นเจลบริเวณผนังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ทำให้ไม่สามารถดูดซึมไขมันได้จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี
2.ลดการดูดซึมสารพิษ โดยพรีไบโอติกจะเข้าไปจับตัวกับสารพิษที่บริเวณลำไส้เล็ก สารพิษจึงมีรูปร่างที่ไม่พร้อมดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารพิษนั้นเข้าสู่ร่างกายต่อไปในทันที
3.ช่วยดูดซึมสารอาหาร พรีไบโอติกจะช่วยปรับระดับความเป็นกรด-ด่างในลำไส้เล็กให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมกับการดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมและแมกนีเซียมที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงกระดูกและฟัน
4.เพิ่มภูมิต้านทาน พรีไบโอติกจะทำให้ปริมาณของโปรไบโอติกอยู่ในสภาวะสมดุลและโปรไบโอติกมีความแข็งแรงจึงสามารถยึดเกาะกับผนังของลำไส้ใหญ่ และช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลืองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการป้องกันและฆ่าเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย เมื่อต่อมน้ำเหลืองทำงานดีภูมิต้านทานของร่างกายก็ดีตามไปด้วย
ทั้งโปรไบโอติกและพรีไบโอติกมีอยู่ในอาหารที่เรารับประทานทั่วไป แต่ทว่าบางคนนั้นปริมาณจุลินทรีย์โปรไบโอติกในร่างกายที่น้อยมาก เมื่อรับพรีไบโอติกเข้าไปจะทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้พรีไบโอติกให้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงได้มีการพัฒนาอาหารที่มีส่วนผสมระหว่างโปรไบโอติกและพรีไบโอติกขึ้น อาหารที่มีทั้งโปรไบโอติกและพรีไบโอติกอยู่ด้วยกันที่กินเข้าไปแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย เราเรียกว่า “ซินไบโอติก (Synbiotics)” อาหารซินไบโอติกจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จากทำงานของจุลินทรีย์โปรไบโอติกและพรีไบโอติกในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาหารประเภทซินไบโอติกนี้จะมีการผสมระหว่างโปรไบโอติกและพรีไบโอติกที่จำเพาะซึ่งกัน เช่น การผสมเชื้อแลคโตบาซิลลัส เพลนทาลัม (Lactobacillus Plantarum) กับโอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) เป็นต้น อาหารที่มีการผสมโปรไบโอติกกับพรีไบโอติกจัดเป็นอาหารฟังก์ชันนาลฟู้ด (Functional Food) คืออาหารที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ เช่น รับประทานเพื่อรักษาโรค รับประทานเพื่อป้องกันโรค มะเร็ง รับประทานเพื่อลดคอเลสเตอรอล เป็นต้น
การรับประทานอาหารเราควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และเสริมด้วยสารอาหารอย่างโปรไบโอติกและพรีไบโอติก เพื่อที่ร่างกายของเราจะได้มีสุขภาพแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามข้อมูลยิ้มรับสุขภาพ ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงนะคะ
โปรไบโอติก (Probiotics) คือ จุลินทรีย์มีชีวิตและเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีอยู่ในอาหาร เมื่อเราบริโภคเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการแล้วจะส่งผลดีให้สุขภาพ คำว่า “โปรไบโอติก” เป็นคำที่มา จากภาษากรีก มีความหมายว่า “เพื่อชีวิต” โปรไบโอติกพบได้ในอาหารหมักดอง เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต แหนม กิมจิ แตงกวาดอง นอกจากในอาหารหมักดองที่กล่าวมา แล้วเรายังสามารถพบโปรไบโอติกใน ชีส Dark Chocolate ซุปมิโซะ อีกด้วย โปรไบโอติก (Probiotics) มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ชนิดที่พบว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและมีการนำมาบริโภคกันอย่างแพร่หลาย คือ แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) เพราะว่าจุลินทรีย์ทั้งสองชนิดนี้เราสามารถพบได้ในร่างกายอยู่แล้ว โดยแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) พบได้ในลำไส้เล็กและบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) พบได้ที่บริเวณลำไส้ใหญ่
จุลินทรีย์โปรไบโอติกที่อาศัยอยู่ในร่างกายเรามีกี่ชนิด?
โดยปกติแล้วร่างกายคนเรานั้นมีจุลินทรีย์อยู่ในร่างกายและผิวหนังหลายล้านชนิดอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ระบบทางเดินอาหาร อย่างลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ เราจะพบจุลินทรีย์จำนวนมากที่สุด ซึ่งจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเรานั้น สามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ
1.จุลินทรีย์ก่อโรค จุลินทรีย์ชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นจุลินทรีย์ที่ร่างกายรับเข้ามาจากภายนอก ทั้งจากอาหารและอากาศ เช่น วิบริโอ พาราฮีโม ไลติคัส (V.cholerae) ที่เป็นสาเหตุของโรคอหิวาตกโรค ชิเจลลา (Shigella) ที่ทำให้เกิดโรคบิด เป็นต้น เมื่อจุลินทรีย์ชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่น้อย ร่างกายจะสามารถขจัดออกไปได้จึงไม่ก่อให้เกิดโรคขึ้น แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินกว่าที่จะกำจัดออกได้โดยเฉพาะบริเวณทางเดินอาหารจะทำให้เกิดโรค เช่น อหิวาตกโรค โรคท้องเสีย อาหารเป็นพิษ โรคบิด เป็นต้น
2.จุลินทรีย์กลุ่มก่อการอักเสบหรือกลุ่มฉวยโอกาส เป็นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจุลินทรีย์ชนิดดี จึงไม่ส่งผลเสียหรือสร้างอันตรายต่อร่างกาย แต่ทว่าเมื่อใดก็ตามที่จุลินทรีย์ชนิดดีมีปริมาณน้อยกว่าจุลินทรีย์กลุ่มนี้แล้ว จุลินทรีย์กลุ่มนี้ก็จะแสดงผลที่เป็นอันตายต่อร่างกายทันที โดยการทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อ Pseudomonas การติดเชื้อ Staphylococcus ที่ทำให้เกิดตุ่มหนองตามผิวหนัง เป็นต้น
3.จุลินทรีย์ที่ทำหน้าที่เป็นกลาง คือ จุลินทรีย์ที่สามารถทำหน้าที่ทั้งป้องกันไม่ให้เกิดโรคและรอโอกาสที่จะทำให้เกิดโรค ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์และปริมาณของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในขณะนั้น เช่น เชื้ออีโคไล (E.Coli) ทำหน้าที่ในการช่วยย่อยอาหารภายในลำไส้เมื่อมีในปริมาณน้อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคท้องเสียได้เมื่อมีปริมาณมากกว่าจุลินทรีย์ชนิดดี
4.จุลินทรีย์ชนิดดีหรือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะทำหน้าที่ในการช่วยปกป้องดูแลทางเดินอาหารไม่ให้เชื้อโรคหรือจุลินทรีย์กลุ่มที่ก่อโรคเข้ามาทำร้ายลำไส้ได้ นับว่าจุลินทรีย์ชนิดนี้เป็นชนิดที่ทำให้เรามีสุขภาพที่ดี เช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ยูแบคทีเรีย (Eubacteria) เป็นต้น
ร่างกายของคนเรานั้นโดยเฉพาะที่ลำไส้จะมีจุลินทรีย์อาศัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราเรียกจุลินทรีย์เหล่านี้ว่า “จุลินทรีย์เจ้าถิ่น” (Normalfloral) จุลินทรีย์เจ้าถิ่นมีทั้งจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และจุลินทรีย์ที่อาจก่อโทษได้ทั้งสองชนิด โดยโปรไบโอติกจัดเป็นจุลินทรีย์เจ้าถิ่นชนิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งประโยชน์ของโปรไบโอติกต่อสุขภาพมีดังนี้
ร่างกายของคนเรานั้นโดยเฉพาะที่ลำไส้จะมีจุลินทรีย์โปรไบโอติกอาศัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราเรียกจุลินทรีย์เหล่านี้ว่า “จุลินทรีย์เจ้าถิ่น” (NORMALFLORAL) จุลินทรีย์เจ้าถิ่นมีทั้งจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และจุลินทรีย์ที่อาจก่อโทษได้ทั้งสองชนิด โดยโปรไบโอติกจัดเป็นจุลินทรีย์เจ้าถิ่นชนิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ประโยชน์ของโปรไบโอติก (Probiotics) ต่อสุขภาพ
1.ป้องกันโรคทางเดินอาหารในทารก ทารกที่เพิ่งคลอดจะมีภูมิต้านทานโรคน้อยโดยเฉพาะบริเวณลำไส้และกระเพาะอาหารทำให้มีเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารที่รุนแรงได้ ดังนั้นการให้ทารกดื่มนมแม่จะช่วยเสริมภูมิต้านทานให้กับทารกได้ เพราะว่าในน้ำนมแม่มีจุลินทรีย์บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่มีประโยชน์ต่อทารก โดยบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) จะเข้าไปยึดเกาะกับผนังของลำไส้เล็กเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ส่งผลให้ลำไส้เล็กมีความแข็งแรงต้านทานต่อโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้ดี และเข้าไปกระตุ้นการสร้างเมือกที่ใช้ในการจับเชื้อไวรัสโรต้าให้มีความหนาขึ้น ทำให้มีโอกาสจับเชื้อโรคได้มากขึ้น จึงลดความเสี่ยงในเป็นโรคท้องเสียชนิดรุนแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัสโรต้าได้เป็นอย่างดี รวมถึงการท้องเสียที่เกิดจากเชื้อ Enterovirus ที่พบได้ในเด็กด้วย
2.ป้องกันโรคลำไส้อักเสบโดยโปรไบโอติกจะเข้าไปยึดเกาะกับเนื้อเยื่อบนผนังลำไส้เอาไว้ ทำให้ไม่มีช่องว่างหรือพื้นที่ว่างให้เชื้อโรคร้ายเข้ามาทำร้ายผนังลำไส้ได้ ผนังลำไส้จึงไม่เกิดการอักเสบ แต่ถ้าร่างกายมีปริมาณโปรไบโอติกน้อยไม่สามารถยึดเกาะกับเนื้อเยื่อของผนังลำไส้ได้ทั้งหมด เมื่อร่างกายรับเชื้อที่ก่อโรคเข้ามา เชื้อก่อโรคก็จะเข้าไปจับกับผนังลำไส้บริเวณที่ว่างอยู่ ทำให้เนื้อเยื่อในบริเวณนั้นจนเกิดการระคายเคืองหรืออักเสบขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุของโรคลำไส้อักเสบ
3.ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค ทั้งที่อยู่ในร่างกายและที่ร่างกายรับเข้ามาจากภายนอก โดยการที่โปรไบโอติกจะเข้าไปแย่งอาหารของจุลินทรีย์ก่อโรคไปจนหมด ทำให้จุลินทรีย์ก่อโรคขาดอาหารส่งผลให้จุลินทรีย์ก่อโรคหยุดการเจริญเติบโตและตายไปในที่สุด นอกจากแย่งอาหารของจุลินทรีย์ก่อโรคแล้ว โปรไบโอติกยังผลิตกรดอะซิติกและแลคติกขึ้นมา เพื่อควบคุมระดับความกรดเป็นกรด – ด่างภายในลำไส้ให้ไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค จุลินทรีย์ก่อโรคจึงมีปริมาณลดลงไม่สามารถส่งผลหรือก่อโรคภายในร่างกายได้
4.ทำลายจุลินทรีย์ก่อโรค โปรไบโอติกจะปล่อยสารแบคเทอริโอซิน (Bacteriocin) ที่มีคุณสมบัติทำลายเชื้อแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์ก่อโรค โดยสารแบคเทอริโอซิน (Bacteriocin) จะเข้าไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของจุลินทรีย์ก่อโรคทำให้เซลล์เกิดการสูญเสียสารอาหารและน้ำ ส่งผลให้จุลินทรีย์ก่อโรคเสื่อสภาพและตายในที่สุด จุลินทรีย์ก่อโรคจึงไม่สามารถทำให้เกิดโรคในร่างกายได้ จึงป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
5.ช่วยดูดซึมสารอาหาร โปรไบโอติกจะผลิตเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร เช่น เอนไซม์ไลเปส (Lipase) ที่ย่อยไขมันให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล เอนไซม์โปติเอส (Proteases) ช่วยในการย่อยโปรตีนให้มีขนาดเล็กลง เป็นต้น เมื่อไขมันและโปรตีนมีขนาดที่เล็กลงจึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้มากขึ้น
6.เสริมสร้างภูมิต้านทาน โปรไบโอติกที่ยึดเกาะอยู่กับเนื้อเยื่อของผนังลำไส้จะเข้าไปกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ในชั้นใต้ผิวของผนังลำไส้ (Gut-Associated Lymphocyte Tissue, GALT) ทำให้ต่อมน้ำเหลืองมีการสร้างสารป้องกันหรือสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายให้อยู่ในระดับที่มีความสมดุล ส่งผลให้เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าไปกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำการจับตัวกับเชื้อโรคได้ดีขึ้น ทำให้เชื้อโรคโดนทำลายอย่างมีประสิทธิภาพ
7.ลดระดับคอเลสเตอรอล โปรไบโอติกชนิด Lactobacillus Acidophilus ที่อยู่ในกลุ่มของบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) จะเข้าไปช่วยย่อยคอเลสเตอรอลและยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลที่อยู่ในลำไส้ และทำการขับเอาคอเลสเตอรอลออกมากับอุจจาระจึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
8.ป้องกันท้องผูก เนื่องจากจุลนิทรีย์บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) สามารถผลิตกรดอินทรีย์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้มีการบีบตัวมากขึ้นและยังเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับอุจจาระ ทำให้อุจจาระมีความอ่อนนุ่ม สามารถขับถ่ายออกมาได้ง่าย จึงสามารถป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี
9.ลดอาการข้างเคียงจากยาปฏิชีวะนะ การทานยาปฏิชีวะนะหรือยาฆ่าเชื้อเข้าไป นอกจากยาจะเข้าไปฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคแล้ว ยาปฏิชีวะนะยังฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดภายในร่างกายทั้งจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ ส่งผลให้เมื่อรับประทานยาปฏิชีวะนะอาจจะมีอาการท้องเสียเกิดขึ้นเป็นอาการข้างเคียงได้ การรับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติกเข้าไปจะความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวได้ เพราะการทานโปรไบโอติกเข้าไปจะช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกายป้องกันการท้องเสียได้
10.ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โปรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ป้องกันการอักเสบหรือติดเชื้อของเซลล์ภายในร่างกาย เมื่อเซลล์ไม่ได้รับการทำร้ายจากเชื้อโรคเซลล์ย่อมมีความแข็งแรงโดยเฉพาะดีเอ็นเอของเซลล์จะคงอยู่เหมือนเดิมไม่เกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง และเมื่อไม่มีการสะสมของเสียในลำไส้จึงไม่มีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นทำให้ผนังลำไส้ไม่เกิดการอักเสบซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ ดังนั้นการที่ร่างกายได้รับโปรไบโอติย่อมลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
การได้รับโปรไบโอติกจำนวนมากเกินไปก็ไม่ส่งผลต่อร่างกาย หรือว่าการได้รับโปรไบโอติกในขณะที่ร่างกายอยู่ในสภาวะภูมิคุ้มกันลดลง
การได้รับโปรไบโอติกจำนวนมากเกินไปก็ไม่ส่งผลต่อร่างกาย หรือว่าการได้รับโปรไบโอติกในขณะที่ร่างกายอยู่ในสภาวะภูมิคุ้มกันลดลง เช่น ช่วงที่ได้รับเคมีบำบัด ช่วงที่ร่างกายมีเม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นต้น ช่วงเวลาที่ภูมิต้านทานต่ำ ถ้าเราได้รับโปรไบโอติกในปริมาณที่มากอาจทำให้เกิดภาวะติดเชื้อซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โปรไบโอติกจัดเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ก็ต่อเมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในขณะนั้น ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายเราควรเลือกบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของโปรไบโอติกเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ
นอกจากโปรไบโอติกแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ควบคู่กับโปรไบโอติกนั่นคือ พรีไบโอติก (Prebiotic) เพราะถ้าขาดสิ่งนี้ไปโปรไบโอติกก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
พรีไบโอติก (Prebiotic) คือ อาหารที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กได้ จึงไม่สามารถดูดซึมในระบบทางเดินอาหารได้ แต่จะส่งไปเป็นอาหารของแบคทีเรียโปรไบโอติก กล่าวคือ พรีไบโอติกเป็นอาหารของของโปรไบโอติกนั่นเอง ซึ่งอาหารกลุ่มนี้จะเป็นคาร์โบไฮเดรตสายสั้นๆ หรือโอลิโกแซคคาร์ไรด์ (Oligosaccharides) เช่น ฟลักโทโอลิโกแซคคาร์ไรด์ (Fructo-Oligosaccharides) กาแล็กโทโอลิโกแซคคาร์ไรด์ (Galacto-Oligosaccharides) โอลิโกแซคคาร์ไรด์เชิงซ้อน (Complex Oligosaccharides) ที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ เป็นต้น รวมถึงอินูลิน (Inulin) ด้วย ซึ่งพรีไบโอติกจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์โปรไบโอติก ทั้งแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) แล้ว พรีไบโอติกยังมีประโยชน์ต่อร่างกายคล้ายคลึงกับโปรไบโอติก คือ
ประโยชน์ของพรีไบโอติก
1.ลดไขมันในเลือด อินนูลินเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำมีรสหวานคล้ายน้ำตาลแต่ไม่ให้พลังงานและร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ เนื่องจากอินนูลินไม่สามารถย่อยที่กระเพาะและลำไส้เล็กจึงไม่สามารถดูดซึมได้ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับน้ำตาลจากอินนูลินเข้าสู่ร่างกาย จึงช่วยลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดและยงช่วยลดการดูดซึมไขมันที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กได้ด้วย โดยที่อินนูลินจะดูดซับน้ำและจับตัวกันเป็นเจลบริเวณผนังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ทำให้ไม่สามารถดูดซึมไขมันได้จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี
2.ลดการดูดซึมสารพิษ โดยพรีไบโอติกจะเข้าไปจับตัวกับสารพิษที่บริเวณลำไส้เล็ก สารพิษจึงมีรูปร่างที่ไม่พร้อมดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารพิษนั้นเข้าสู่ร่างกายต่อไปในทันที
3.ช่วยดูดซึมสารอาหาร พรีไบโอติกจะช่วยปรับระดับความเป็นกรด-ด่างในลำไส้เล็กให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมกับการดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมและแมกนีเซียมที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงกระดูกและฟัน
4.เพิ่มภูมิต้านทาน พรีไบโอติกจะทำให้ปริมาณของโปรไบโอติกอยู่ในสภาวะสมดุลและโปรไบโอติกมีความแข็งแรงจึงสามารถยึดเกาะกับผนังของลำไส้ใหญ่ และช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลืองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการป้องกันและฆ่าเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย เมื่อต่อมน้ำเหลืองทำงานดีภูมิต้านทานของร่างกายก็ดีตามไปด้วย
ทั้งโปรไบโอติกและพรีไบโอติกมีอยู่ในอาหารที่เรารับประทานทั่วไป แต่ทว่าบางคนนั้นปริมาณจุลินทรีย์โปรไบโอติกในร่างกายที่น้อยมาก เมื่อรับพรีไบโอติกเข้าไปจะทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้พรีไบโอติกให้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงได้มีการพัฒนาอาหารที่มีส่วนผสมระหว่างโปรไบโอติกและพรีไบโอติกขึ้น อาหารที่มีทั้งโปรไบโอติกและพรีไบโอติกอยู่ด้วยกันที่กินเข้าไปแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย เราเรียกว่า “ซินไบโอติก (Synbiotics)” อาหารซินไบโอติกจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จากทำงานของจุลินทรีย์โปรไบโอติกและพรีไบโอติกในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาหารประเภทซินไบโอติกนี้จะมีการผสมระหว่างโปรไบโอติกและพรีไบโอติกที่จำเพาะซึ่งกัน เช่น การผสมเชื้อแลคโตบาซิลลัส เพลนทาลัม (Lactobacillus Plantarum) กับโอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) เป็นต้น อาหารที่มีการผสมโปรไบโอติกกับพรีไบโอติกจัดเป็นอาหารฟังก์ชันนาลฟู้ด (Functional Food) คืออาหารที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ เช่น รับประทานเพื่อรักษาโรค รับประทานเพื่อป้องกันโรค มะเร็ง รับประทานเพื่อลดคอเลสเตอรอล เป็นต้น
การรับประทานอาหารเราควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และเสริมด้วยสารอาหารอย่างโปรไบโอติกและพรีไบโอติก เพื่อที่ร่างกายของเราจะได้มีสุขภาพแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามข้อมูลยิ้มรับสุขภาพ ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงนะคะ
ความคิดเห็น