ภาวะแทรกซ้อนโรคความดันโลหิตสูง



โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ลิ่มเลือดอุดตัน หลอดเลือดโป่งพอง และรวมถึงทำให้เกิดโรคไตได้ ซึ่งทุกโรคล้วนเป็นภาวะร้ายแรงที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีอาการทั้งสิ้น





หากเป็นโรคความดันโลหิตสูงและไม่ได้รับการรักษา จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนของระบบหัวใจและหลอดเลือดตามมาได้หลายชนิด เช่น


  • โรคหลอดเลือดสมอง (stroke): คือภาวะร้ายแรง ที่เลือดไปเลี้ยงสมองถูกขัดขวาง ทำให้สมองมีภาวะขาดเลือด
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (heart attack): คือภาวะร้ายแรง ที่เลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของหัวใจถูกผิดกั้น ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย
  • ลิ่มเลือดอุดตัน (thrombosis): เป็นภาวะร้ายแรงที่มีลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือด
  • หลอดเลือดโป่งพอง (aneurysm): เป็นภาวะร้ายแรงที่ผนังหลอดเลือดไม่แข็งแรง มีการโป่งพองของหลอดเลือดเกิดขึ้น
  • โรคไต
  • ความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดหลอดเลือดขนาดเล็กที่อยู่ภายในไตเสียหายได้ ทำให้ไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ


เหตุการณ์นี้จะทำให้เกิดอาการตามมาหลายอาการ ได้แก่:


  1. อ่อนเพลีย
  2. ข้อเท้าบวม, เท้าบวม หรือ มือบวม (เนื่องจากมีการคั่งของน้ำ)
  3. หายใจหอบเหนื่อย หายใจลำบาก
  4. พบเลือด และ/หรือ โปรตีนในปัสสาวะ
  5. ปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะตอนกลางคืน (nocturia)
  6. คันผิวหนัง
  7. โรคไตสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาร่วมกับอาหารเสริม แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องทำการฟอกเลือด (dialysis) ซึ่งเป็นกระบวนการกำจัดของเสียโดยเครื่องไตเทียม หรือทำการปลูกถ่ายไต




การป้องกัน

ในการป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีหลากหลายวิธี ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน รวมถึงการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

 วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้มีความดันโลหิตสูงและป้องกันความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด คือ:

→รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
→ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
→ออกกำลังกายเป็นประจำ
→ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางเท่านั้น
→ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในระดับปานกลางเท่านั้น
→หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
→การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
→แนะนำให้รับประทานอาหารไขมันต่ำ และมีใยอาหารสูง เช่น ผลไม้และผัก (5 ส่วนของอาหารต่อวัน) และธัญพืชไม่ขัดสี



จำกัดการบริโภคเกลือไม่ให้เกิน 6 กรัม ต่อวัน การรับประทานเกลือมากเกินไปจะส่งผลเพิ่มความดันโลหิตได้ (เกลือ 6 กรัม คือประมาณ 1 ช้อนชา)




หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เพราะจะเพิ่มปริมาณไขมันคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น:

👉พายเนื้อสัตว์
👉เนย
👉น้ำมันเนย (ghee, คือเนยชนิดหนึ่งที่มักใช้ทำอาหารอินเดีย)
👉น้ำมันหมู
👉ครีม
👉ชีสแข็ง
👉เค้กและขนมปังกรอบ
👉อาหารที่ประกอบด้วยน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม
👉อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารอาหารบางชนิดที่ประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวสูงสามารถลดระดับ👉คอเลสเตอรอลได้จริง

อาหารที่ประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น:

→น้ำมันปลา
→อะโวคาโด
→ถั่วและเมล็ด
→น้ำมันดอกทานตะวัน, และน้ำมันมะกอก
→ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
→น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานคือปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคความดันโลหิตสูง และความเสี่ยงจะมากขึ้นถ้ามีภาวะอ้วน



วิธีในการตรวจสอบว่าคุณมีภาวะน้ำหนักเกินหรือไม่ มีอยู่ 2 วิธี:

การวัดดัชนีมวลกาย (BMI): คำนวณจากน้ำหนักในหน่วยกิโลกรัมเป็นตัวตั้ง และหารด้วย ส่วนสูงในหน่วยเมตรยกกำลังสอง สำหรับคนไทยดัชนีมวลกายตั้งแต่ 23.0-24.9 เรียกว่ามีน้ำหนักเกิน, 25.0-29.9 เรียกว่าเป็นโรคอ้วน และถ้าตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เรียกว่าโรคอ้วนอันตราย
รอบเอว: ใช้สายวัดวางไว้บนรอบเอว ตรงระดับสะดือพอดี ผู้ชายต้องมีเส้นรอบเอวน้อยกว่า 90 เซนติเมตร และผู้หญิงต้องน้อยกว่า 80 เซนติเมตร หากเส้นรอบเอวใหญ่เกินกว่าค่าดังกล่าว จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น


วิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมไม่ให้ร่างกายอ้วน คือการลดปริมาณพลังงานที่ได้รับจากการรับประทาน และให้ออกกำลังกายเป็นประจำ แพทย์ที่ดูแลคุณสามารถให้ความรู้และให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับคุณได้

การออกกำลังกาย
ระหว่างการออกกำลังกายจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นชั่วขณะ แต่การออกกำลังกายเป็นประจำในระดับที่เหมาะสมจะช่วยลดความดันโลหิตและช่วยรักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้

ข้อมูลด้านล่างนี้คือคำแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับระดับความดันโลหิตและการออกกำลังกาย:

👉ต่ำกว่า 90/60: คุณอาจมีภาวะความดันโลหิตต่ำ ก่อนเริ่มการออกกำลังกายใหม่ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด ให้ปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลก่อนเสมอ

👉90/60 ถึง 140/90: สามารถออกกำลังกายได้ ซึ่งจะช่วยให้ความดันโลหิตอยู่ในช่วงที่เหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็น

👉140/90 ถึง 179/99: มีความปลอดภัยในการค่อยๆ เพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกาย เพื่อช่วยลดความดันโลหิต

👉180/100 ถึง 199/109: ให้ปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลก่อนเริ่มการออกกำลังกายใหม่ชนิดใดๆ

👉200/110 หรือสูงกว่านี้: อย่าเริ่มการออกกำลังกาย ให้ปรึกษาแพทย์หรือพยาบาล





ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลาง การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะเพิ่มความดันโลหิตและเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้

การจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มอย่างเข้มงวดคือวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของการมีระดับความดันโลหิตสูง

ขีดจำกัดของปริมาณแอลกอฮอล์ที่แนะนำให้ดื่มต่อวันคือ:

3-4 หน่วยของแอลกอฮอล์สำหรับผู้ชาย
2-3 หน่วยของแอลกอฮอล์สำหรับผู้หญิง
1 หน่วยแอลกอฮอล์ เทียบประมาณได้กับ ครึ่งไพน์ของเบียร์ความแรงมาตรฐาน, ไวน์แก้วเล็ก

ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในระดับปานกลาง
มีความสำคัญที่จะต้องจำกัดปริมาณการดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น น้ำอัดลม

ความดันโลหิตของคุณอาจเพิ่มขึ้นได้ หากดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 4 ถ้วย

หยุดสูบบุหรี่
ถ้าคุณสูบบุหรี่ มีวิธีในการสนับสนุนให้เลิกบุหรี่มากมาย เช่น โทรสายด่วนเลิกบุหรี่ 1600

ขอขอบเจ้าของบทความ

เรียบเรียงโดย โซดา

ขอบคุณที่ติดตามข่าวสาร : ยิ้มรับ สุขภาพ นะคะ




หากบทความนี้ดี แชร์ต่อเพื่อเป็นวิทยาทาน 1 แชร์ = 1 ธรรมทาน





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีทำข้าวหมาก

ปัสสาวะเป็นฟอง อันตรายกว่าที่คิด

ข้าวหมากอาหารไทยประโยชน์เพี๊ยบ