หน้าที่ของตับอ่อน
มารู้จักตับอ่อน (pancreas)
รูปร่างคล้ายปลาดุก ส่วนหัวอยู่ทางด้านขวาของเจ้าของ ทอดอยู่ในอ้อมกอดของลำไส้เล็กส่วนต้นที่เรียกว่า ดูโอดีนัม ส่วนหางอยู่ทางซ้ายจ่อติดกับม้าม ตรงกลางมีหลอดเลือดใหญ่ทอดผ่านหลายเส้น ตับอ่อนทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยอาหาร และสร้างฮอร์โมนอินซูลินและกลูคากอน ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถใช้น้ำตาลในร่างกายได้เป็นปกติ
- ตับอ่อนทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการผลิตเอนไซม์ไว้ย่อยอาหาร โดยหลั่งน้ำย่อยเข้าไปในลำไส้เล็ก ผ่านทางท่อตับอ่อน น้ำย่อยจัดเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตในอาหาร โดยปกติน้ำย่อยที่สร้างจากตับอ่อนจะยังไม่ออกฤทธิ์ จนกระทั่งเมื่อถูกหลั่งเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนดูโอดินัม จึงจะเริ่มทำหน้าที่ย่อยสารอาหารไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อใดก็ตามที่เอนไซม์ หรือน้ำย่อยเหล่านั้นออกฤทธิ์ภายในตับอ่อน หรือถูกกระตุ้นให้เข้าสู่ภาวะแอ็กทีฟ ก็จะเหมือนกับว่าน้ำย่อยที่สร้างมาจากตับอ่อน กำลังทำการย่อยเนื้อตับอ่อนเอง ทำให้เกิดพยาธิสภาพขึ้น ปรากฏอาการและอาการแสดงที่ชัดเจน
2. สร้างฮอร์โมน ตับอ่อนทำหน้าที่ สร้างฮอร์โมนอินสุลิน และกลูคากอน โดยเมื่อสังเคราะห์อินสุลินและกลูคากอนแล้ว ก็จะหลั่งเข้าไปในกระแสเลือดทันที ฮอร์โมนทั้งสองทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด
น้ำย่อยของตับอ่อน น้ำย่อยของตับอ่อนเป็นเอนไซม์ที่สร้างมาจากตับอ่อน มีสภาพเป็นเบส ประกอบด้วย
- โซเดียมไบคาร์บอเนต ซึ่งมีสมบัติเป็นเบส เหมาะสมที่จะทำให้ลำไส้เล็กมีสภาวะเป็นเบส ช่วยให้เอนไซม์ต่างๆทำงานได้ ยกเว้นเปปซิน จากกระเพาะอาหาร จะหมดประสิทธิภาพ ในขณะที่อาหารผ่านกระเพาะอาหารจะมีสภาวะเป็นกรด
- อะมัยเลส ทำหน้าที่ย่อยแป้ง เด็กทริน และมอลโทส
- ไลเปส ทำหน้าที่ย่อยไขมัน กรดไขมัน และกลีเซอรอล
- ทริปซิโนเจน ในสภาวะที่เป็นเอนไซม์ที่ยังย่อยอาหารไม่ได้ แต่เมื่อผ่านถึงลำไส้เล็กตอนต้น จะเปลี่ยนสภาพเป็นทริปซิน โดยอาศัยเอนไซม์เอนเทอโรไคเนสจากผนังลำไส้เล็ก เอนไซม์ทริปซินทำหน้าที่ย่อยโปรตีนและโพลีเปปไทด์
- ไคโมทริพซิน ทำหน้าที่ย่อยโพลีเปปไทด์ต่อจากทริปซิน
- คาร์บอกซีเปปติเดส ทำหน้าที่ย่อยเปปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโน
เอนไซม์กับการย่อยอาหาร เอนไซม์มีโครงสร้างที่ประกอบขึ้นด้วยกรดอะมิโน แต่มีคุณสมบัติต่างจากโปรตีนตรงที่ เอนไซม์สามารถเร่งปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ได้ โดยที่สารที่จะเป็นเอนไซม์ได้ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- สามารถเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ได้
- เมื่อเกิดปฏิกิริยาแล้วเอนไซม์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและจำนวน ในขณะที่สารเริ่มต้นถูกเปลี่ยนไปเป็นสารผลิตภัณฑ์
- อุณหภูมิมีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ ซึ่งจะทำงานได้ดีในช่วง 25-40 องศาเซลเซียส
- สภาพความเป็นกรด-ด่างมีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ โดยขึ้นอยู่กับชนิดของเอนไซม์นั้นๆ
ตับอ่อนเป็นต่อมไร้ท่อชนิดหนึ่ง ระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system)
เป็นระบบที่สำคัญอย่างยิ่งของร่างกายในการควบคุมการทำงาน และการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งประสานขบวนการทำงานระดับเซลให้เกิดประสิทธิภาพ และเป็นระเบียบถูกต้อง อวัยวะที่สำคัญของระบบนี้ล้วนเป็น "ต่อม" ซึ่งทำหน้าที่หลักในการสร้างฮอร์โมนที่สำคัญของร่างกาย ฮอร์โมนเป็นสารที่ร่างกายสร้างออกมาแล้วแพร่กระจายออกสู่กระแสเลือดไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย กลไกการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนทุกชนิดเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีความสัมพันธ์กับระบบสืบพันธุ์ ไต ทางเดินอาหาร ตับ และไขมันในร่างกายอีกด้วย
ฮอร์โมนทั้งหมดในร่างกายอาจแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 5 กลุ่ม
กลุ่มแรก เป็นฮอร์โมนออกฤทธิ์เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย กลุ่มที่สอง เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ กลุ่มที่สาม เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเซล กลุ่มที่สี่ เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสมดุลต่างๆ ภายในร่างกาย กลุ่มสุดท้าย เป็นฮอร์โมนที่ตอบสนองต่อการกระตุ้นจากภาวะภายนอกร่างกาย เช่น จากความเครียด หรือภยันตรายต่อเซลเป็นต้น
ตับอ่อนเป็นทั้งต่อมที่สร้างเอ็นไซม์ และเป็นต่อมไร้ท่อที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งฮอร์โมนอื่นๆ ที่ร่วมกันทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้าสู่ภาวะสมดุลโดยต้านฤทธิ์อินซูลิน
ตับอ่อนอักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบ เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก
กลไกที่ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าการอักเสบของตับอ่อนน่าจะเกิดจากน้ำย่อยอาหารจากตับอ่อน โดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่า “ทริปซิน” (Trypsin) ซึ่งเป็นน้ำย่อยโปรตีนที่ปกติแล้วจะไม่ทำงานเมื่ออยู่ในตับอ่อน แต่จะทำงานก็ต่อเมื่อเข้าไปอยู่ในลำไส้เล็ก โดยเซลล์ของลำไส้เล็กตอนบนจะสร้างเอนไซม์ ชื่อ “เอนเทอโรไคเนส” (Enterokinase) ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้น้ำย่อยตับอ่อนทำงาน แต่เมื่อเซลล์ของตับอ่อนเกิดการอักเสบจากสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ก็จะส่งผลทำให้เกิดสารเคมีผิดปกติต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งจะไปกระตุ้นให้น้ำย่อยของตับอ่อนโดยเฉพาะทริปซินทำงาน น้ำย่อยเหล่านี้จึงย่อยสลายเซลล์ของตับอ่อนและก่อให้เกิดเป็นโรคตับอ่อนอักเสบขึ้นมา
นอกจากนี้ กลไกการอักเสบยังอาจเกิดจากมีการทำลายหรือก่อให้เกิดการอักเสบโดยตรงต่อเซลล์ของตับอ่อนจากสาเหตุต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น จากการดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือการอักเสบของเนื้อเยื่อตับอ่อนจากโรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disease) เป็นต้น
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า โรคตับอ่อนอักเสบทั้งการอักเสบชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรังนั้นมีความเกี่ยวพันกัน เพราะการอักเสบเรื้อรังจะเกิดต่อเนื่องมาจากการอักเสบเฉียบพลัน ดังนั้นสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงจึงเหมือนกัน ซึ่งสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบได้บ่อย ๆ (รวมกันประมาณ 80%) ของโรคตับอ่อนอักเสบทั้งหมดจะมีอยู่ด้วยกัน 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ จากโรคนิ่วในถุงน้ำดีและจากการดื่มแอลกอฮอล์จัด
กลไกการอักเสบของตับอ่อน
กลไกที่ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าการอักเสบของตับอ่อนน่าจะเกิดจากน้ำย่อยอาหารจากตับอ่อน โดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่า “ทริปซิน” (Trypsin) ซึ่งเป็นน้ำย่อยโปรตีนที่ปกติแล้วจะไม่ทำงานเมื่ออยู่ในตับอ่อน แต่จะทำงานก็ต่อเมื่อเข้าไปอยู่ในลำไส้เล็ก โดยเซลล์ของลำไส้เล็กตอนบนจะสร้างเอนไซม์ ชื่อ “เอนเทอโรไคเนส” (Enterokinase) ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้น้ำย่อยตับอ่อนทำงาน แต่เมื่อเซลล์ของตับอ่อนเกิดการอักเสบจากสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ก็จะส่งผลทำให้เกิดสารเคมีผิดปกติต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งจะไปกระตุ้นให้น้ำย่อยของตับอ่อนโดยเฉพาะทริปซินทำงาน น้ำย่อยเหล่านี้จึงย่อยสลายเซลล์ของตับอ่อนและก่อให้เกิดเป็นโรคตับอ่อนอักเสบขึ้นมา
นอกจากนี้ กลไกการอักเสบยังอาจเกิดจากมีการทำลายหรือก่อให้เกิดการอักเสบโดยตรงต่อเซลล์ของตับอ่อนจากสาเหตุต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น จากการดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือการอักเสบของเนื้อเยื่อตับอ่อนจากโรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disease) เป็นต้น
สาเหตุของโรคตับอ่อนอักเสบ
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า โรคตับอ่อนอักเสบทั้งการอักเสบชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรังนั้นมีความเกี่ยวพันกัน เพราะการอักเสบเรื้อรังจะเกิดต่อเนื่องมาจากการอักเสบเฉียบพลัน ดังนั้นสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงจึงเหมือนกัน ซึ่งสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่พบได้บ่อย ๆ (รวมกันประมาณ 80%) ของโรคตับอ่อนอักเสบทั้งหมดจะมีอยู่ด้วยกัน 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ จากโรคนิ่วในถุงน้ำดีและจากการดื่มแอลกอฮอล์จัด
- โรคนิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones) เกิดจากนิ่วในถุงน้ำดีที่หลุดเข้าไปในท่อน้ำดี (โรคนิ่วในท่อน้ำดี) ซึ่งท่อน้ำดีนี้จะเปิดเข้าลำไส้เล็กในตำแหน่งเดียวกันกับท่อตับอ่อน นิ่วในท่อน้ำดีจึงก่อให้เกิดการอุดตันและการอักเสบของท่อตับอ่อน แล้วกลายเป็นสาเหตุของตับอ่อนอักเสบในที่สุด
- การดื่มแอลกอฮอล์จัด เกิดจากพิษของแอลกอฮอล์ที่เข้าไปทำลายเซลล์ของตับอ่อนโดยตรง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตามหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 2-12 ชั่วโมง (แต่บางคนอาจนาน 1-3 วันได้ และบางคนที่ไวต่อแอลกอฮอล์เป็นพิเศษจะเกิดขึ้นหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยได้)
- สาเหตุอื่น ๆ เป็นสาเหตุที่พบได้น้อยกว่า คือ พบได้รวมกันประมาณ 20% ของการเกิดโรคตับอ่อนอักเสบทั้งหมด ได้แก่
- การสูบบุหรี่ โดยเกิดจากสารพิษจากบุหรี่ที่เข้าไปทำลายเซลล์ของตับอ่อน
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น เตตราไซคลีน (Tetracycline), ยาซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides), ยาขับปัสสาวะไทอะไซด์ (Thiazide) และฟูโรซีไมด์ (Furosemide), ยาสเตียรอยด์ (Steroids), ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs), ยากดภูมิคุ้มกันอะซาไธโอพรีน (Azathioprine), ยาเคมีบำบัดเมอร์แคปโตพิวรีน (Mercaptopurine), ยารักษาวัณโรคบางชนิด, ยากรดวาลโปรอิก (Valproic acid), ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เป็นต้น
- โรคเรื้อรังบางชนิดที่ก่อให้เกิดสารเคมีเป็นพิษขึ้นในร่างกาย เช่น โรคไตเรื้อรัง
- ภาวะไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ในเลือดสูง (Hyperlipidemia)
- ภาวะมีแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia) เช่น จากการรับประทานวิตามินดีและแคลเซียมเสริมในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง
- ภาวะขาดพาราไทรอยด์ (Hypoparathyroidsm)
- การติดเชื้อแบคทีเรียของตับอ่อน
- การติดเชื้อไวรัสของตับอ่อน เช่น เชื้อไวรัสมัมพ์ (Mumps virus) ที่ทำให้เกิดโรคคางทูม, เชื้อไวรัสรูเบลลา (Rubella virus) ที่ทำให้เกิดโรคหัดเยอรมัน, เชื้อไวรัสเฮปาไตติส (Hepatitis virus) ที่ทำให้เกิดโรคไวรัสตับอักเสบ, เชื้อไวรัสเอ็บสไตน์-บาร์ (Epstein-Barr virus), เชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (Cytomegalovirus)
- โรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disease)
- โรคมะเร็งท่อน้ำดี โรคมะเร็งถุงน้ำดี หรือโรคมะเร็งตับอ่อน (สาเหตุจากโรคมะเร็งเป็นสาเหตุที่พบได้น้อย)
- ภาวะหรือความผิดปกติทางพันธุกรรมบางอย่างที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดมีตับอ่อนอักเสบ (เป็นสาเหตุที่พบได้น้อยมาก มักเกิดขึ้นในคนหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี ซึ่งอาจเป็นมานานหลายปีก่อนที่แพทย์จะวินิจฉัยได้)
- การได้รับบาดเจ็บที่ตับอ่อนโดยตรง เช่น จากอุบัติเหตุหรือการได้รับบาดเจ็บที่ช่องท้อง จากการผ่าตัดในช่องท้อง จากขั้นตอนการผ่าตัดทางเดินน้ำดีและต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง (เป็นเหตุทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบหลังการผ่าตัด)
- บางครั้งอาจไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด
อาการของโรคตับอ่อนอักเสบ
อาการของโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ได้แก่
- ปวดท้องเฉียบพลันตรงช่องท้องตรงกลางส่วนบน (บริเวณใต้ลิ้นปี่) ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดอย่างรุนแรง (อาการเมื่อเริ่มปวดจนถึงปวดอย่างรุนแรง อาจใช้เวลาประมาณ 10 นาทีจนถึงหลายชั่วโมง) โดยจะปวดแบบตื้อ ๆ ตลอดเวลาต่อเนื่องกันเป็นวัน ๆ หรือหลายวันติดต่อกัน และมักปวดร้าวไปที่หลัง (พบได้ประมาณ 50% ของผู้ป่วย) เพราะตับอ่อนเป็นอวัยวะที่อยู่ลึกในช่องท้องส่วนที่อยู่ติดทางด้านหลัง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ หรือเคลื่อนไหวหรือเวลานอนหงาย (แต่จะรู้สึกสบายขึ้นเวลานั่งโก้งโค้ง) อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายที่มีโรคเรื้อรังที่มีผลต่อการอักเสบของประสาท อาจมีตับอ่อนอักเสบโดยที่มีอาการปวดไม่มากก็ได้ เช่น ในผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคไตเรื้อรัง
- อาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย แน่นท้อง
- มักมีไข้ (ซึ่งมีได้ทั้งไข้สูงและไข้ต่ำ) คลื่นไส้ อาเจียน (ประมาณ 70-90% ของผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ลักษณะของอาเจียนจะเป็นน้ำย่อย แต่อาจจะมีน้ำดีปนด้วย)
- กดหน้าท้องจะเจ็บ (มักจะไม่มีอาการท้องแข็ง)
- หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว
- ถ้าเป็นการอักเสบชนิดรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการของภาวะขาดน้ำ (กระหายน้ำ ผิวแห้ง ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นเร็ว และอาจมีภาวะช็อก) และ/หรือมีอาการอ่อนเพลียมาก มีจ้ำเขียวขึ้นที่หน้าท้องหรือรอบ ๆ สะดือ มือเท้าเกร็ง (จากภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ) และ/หรือมีอาการจากการอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ ร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดอักเสบ หรือไตวายเฉียบพลัน
อาการของโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ได้แก่
- ผู้ป่วยจะมีอาการเช่นเดียวกับตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันเมื่อเกิดตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันทับซ้อน
- มีอาการปวดท้องเป็นอาการหลักในลักษณะเช่นเดียวกับการอักเสบเฉียบพลัน (ปวดท้องตรงใต้ลิ้นปี่ หรือชายโครงด้านซ้าย และปวดร้าวไปที่บั้นเอวด้านซ้าย) แต่จะมีความรุนแรงน้อยกว่าและปวดท้องอย่างเรื้อรัง (อาการปวดจะทิ้งช่วงห่างกันเป็นเดือนหรือเป็นปี และจะพบได้บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จนปวดตลอดเวลา) และนอกจากจะปวดมากขึ้นหลังเมื่อรับประทานอาหารและดื่มน้ำแล้ว (โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน) ยังปวดมากขึ้นเมื่อดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย
- ท้องเสียเรื้อรัง อุจจาระของผู้ป่วยจะมีลักษณะเป็นไขมันจากไขมันย่อยไม่ได้ เมื่อเป็นมากในขณะที่ถ่ายอุจจาระไขมันจะลอยขึ้นมาให้เห็นในโถส้วมและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก มีลมในท้อง น้ำหนักตัวลดลงอย่างต่อเนื่องทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยยังรับประทานอาหารได้ปกติ และไม่มีอาการเบื่ออาหารแม้แต่น้อย เนื่องจากอาหารดูดซึมไม่ได้เพราะขาดน้ำย่อยอาหาร ทำให้เป็นโรคขาดอาหาร มีอาการอ่อนเพลีย และถ่ายอุจจาระเป็นไขมัน (Oily stool) ดังกล่าว
- ถ้าเป็นมากจนตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ อาจทำให้มีอาการของโรคเบาหวานร่วมด้วย
- บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง (มีภาวะดีซ่าน) จากการอักเสบเรื้อรังและก่อให้เกิดการดึงรั้งปากท่อน้ำดีที่อยู่ติดกับปากท่อของตับอ่อน ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นทางเดินน้ำดีจากตับ น้ำดีจึงท้นเข้าหลอดเลือดแล้วก่อให้เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้ม และน้ำดีไหลลงลำไส้ไม่ได้ (ส่งผลให้อุจจาระมีสีซีด ซึ่งเป็นสีจากน้ำดี)
- ผู้ป่วยเรื้อรังบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลยก็ได้ หรือบางรายอาการปวดท้องอาจหายไปแม้ว่าโรคจะเลวลงก็ตาม
ภาวะแทรกซ้อนของโรคตับอ่อนอักเสบ
อาจทำให้เกิดฝีตับอ่อน (Pancreatic abscess), ถุงน้ำเทียม (Pseudocyst) ในช่องท้อง, ภาวะไตวาย (Renal failure), ภาวะช็อก, ปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema), ภาวะขาดอาหาร, โรคเบาหวาน (โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานมาก่อน มักจะมีแนวโน้มเกิดโรคเบาหวานได้ง่ายขึ้น) และในกรณีที่เป็นโรคตับอ่อนอักเสบรุนแรงจะมีการตายของเซลล์ของตับอ่อนซึ่งจะทำให้เกิดการติดเชื้อโรคได้ง่าย เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษซึ่งเป็นอันตรายถึงกับเสียชีวิต
ที่มา BangkokHealth.com , MedThai







ความคิดเห็น