12 วิธีรักษาสิว

12 วิธีรักษาสิวอักเสบอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ





ถ้าผิวหน้าของเรานั้นไม่สดใส เต็มไปด้วยสิวอักเสบ สิวหนอง และรอยแผลเป็นจากสิว ก็จะยิ่งลดทอนความมั่นใจจนอาจจะทำให้เสียโอกาสดีๆ ในชีวิตไปเลยทีเดียว





วันนี้เรามี 12 วิธีรักษาสิวอักเสบ แบบธรรมชาติ อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ บุคลิกภาพที่ดีเป็นภาพลักษณ์ภายนอกและจุดเริ่มต้นของความมั่นใจในการพบปะผู้คน รวมถึงการใช้ชีวิตในสังคมทั้งหน้าที่การงานและประสบการณ์ต่างๆ

สิวอักเสบ

อุปสรรคที่เกิดจากสิวอักเสบหรือสิวหนอง
สิวอักเสบ ที่บวมแดงและมีหนองจะมีลักษณะเป็นรอยแดงช้ำ ซึ่งในผู้ชายที่เป็นสิวอักเสบจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน เนื่องจากไม่มีเครื่องสำอางมาปกปิดนั่นเอง สำหรับผู้หญิงที่ถึงแม้ว่าจะแต่งหน้าปกปิดได้ก็ตาม แต่การเมคอัพเพื่อกลบรอยสิวก็ยิ่งทำให้สิวเห่อและลุกลามหนักกว่าเดิม

2 สาเหตุการเกิดสิวอักเสบ

สาเหตุการเกิดสิวอักเสบ จริงๆ แล้วสิวอักเสบก็เกิดมาจากสิวทั่วไป เพียงแต่มีการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ จึงทำให้สิวธรรมดาๆ มีอาการบวมแดงและอักเสบเป็นหนอง โดยสาเหตุหลักๆ นั้นมี 2 ประการ ดังนี้

1 . เกิดจากมือของเรา เพราะอาการคันไม้คันมือที่ชอบบีบ แคะ แกะ เกา ทั้งสิวชนิดมีหัวหรือไม่มีหัวก็ตาม จึงทำให้หัวสิวแตกและเกิดการรั่วของคอมีโดน (Comedone) ก่อให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococci / Streptococci

2 . เกิดจากเชื้อประจำถิ่น เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีว่า Propionibacterium acnes หรือ Acnes นั่นเอง โดยจะกินไขมันบนผิวหน้าของเราเป็นอาหารและสามารถเจริญเติบโตได้ดี หากมีการอุดตันของไขมันที่ก่อให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง จากนั้นจึงสร้างเอนไซม์ที่เปลี่ยนไขมันให้กลายเป็นกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acid) ซึ่งก่อให้เกิดอาการระคายเคือง

5 ประเภทของสิวอักเสบ

1 . สิวเสี้ยน (Trichostasis spinulosa) คือ การอุดตันของกลุ่มขนอ่อน (Vellus hair) ที่อยู่ในรูขุมขน ซึ่งอาจจะพบแค่เพียงเส้นเดียวหรือหลายเส้นก็ได้ มักจะเกิดบริเวณจมูก คาง และหลัง

2 . สิวชนิดตุ่มนูนแดง (Papule) เป็นการอักเสบแค่ส่วนบนของผิวหนังเท่านั้น

3 . สิวชนิดหัวหนอง (Pustule) มีทั้งชนิดที่อยู่บนผิวหนังชั้นตื้นและที่อยู่ลึกลงมา ซึ่งถ้าเป็นหนองบนผิวหนังชั้นตื้นๆ จะสามารถรักษาให้หายได้รวดเร็วกว่าสิวชนิดตุ่มนูนแดง

4 . สิวอักเสบและเป็นก้อนลึก (Nodule) เป็นสิวอักเสบชนิดที่อยู่ลึกลงไปและเป็นก้อนบวม มักจะใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนานและทำให้เกิดแผลเป็นได้ง่าย

5 . สิวชนิดเป็นถุงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง (Cyst) รู้จักกันในชื่อ “สิวหัวช้าง” และก่อให้เกิดรอยแผลเป็นขนาดใหญ่

3 การรักษาสิวอักเสบ

หลักการรักษาสิวอักเสบก็คือ เราจะต้องเอาหัวหนองออกให้หมด จากนั้นจึงค่อยดูแลรักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะหรือทายาภายนอก โดยการรักษาสิวอักเสบสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ

1 . สิวเป็นไต มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและแข็ง เมื่อกดหรือสัมผัสจะรู้สึกเจ็บแต่ว่าไม่มีหัวหนอง เวลาล้างหน้าแล้วมือไปโดนนั้นเจ็บมาก ก่อให้เกิดความรำคาญและรักษาหายช้า อีกทั้งยังเห็นเป็นรอยนูนแดงชัดเจน สำหรับวิธีการรักษาคือให้แต้มยาทาสิวหรือสมุนไพรสำหรับทาสิวเพื่อลดการอักเสบ สิวจะค่อยๆ ยุบลงไปโดยไม่มีหัวหนอง แต่จะต้องใช้เวลานานพอสมควร

2 . มีหัวหนองและหัวสิวยังไม่สุก วิธีการรักษาที่ดีที่สุดในระยะนี้คือ ควรกระตุ้นให้หัวสิวสุกโดยเร็วที่สุด เพราะเราจะต้องเอาหนองออกมาให้หมด แต่เพื่อเป็นการป้องกันเกิดรอยแผลเป็น ควรจะต้องเอาหนองออกในช่วงเวลาที่สิวสุก ด้วยการออกกำลังกายให้ร่างกายของเราเกิดความร้อน

ซึ่งจะช่วยเร่งให้สิวสุกเป็นหนองเร็วมากขึ้น และเมื่อสิวสุกแล้วควรกดเอาหนองออกให้หมด จากนั้นใช้ครีมแต้มสิวทาบ่อยๆ ก็จะเริ่มตกสะเก็ดแล้วค่อยแต้มด้วยครีมลดรอยแผลเป็นจากสิว ทั้งนี้เราต้องไม่ลืมว่าการกดสิวจะต้องทำในช่วงที่สิวสุกเท่านั้น มิเช่นนั้นจะเกิดสิวหัวหนองซ้ำที่บริเวณเดิมๆ

3 . สิวสุก เราสามารถเจาะเอาหัวหนองออกให้หมดในระยะนี้ได้ ซึ่งสิวจะหายไปเองโดยไม่เกิดการติดเชื้อ หรืออาจจะทาครีมแต้มสิวและครีมลดรอย เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นในระยะยาว




วิธีป้องกันสิวอักเสบเบื้องต้น
1 . เลิกสัมผัสใบหน้าด้วยมือ เราต้องเลิกแคะ แกะ หรือเกาบนใบหน้าด้วยมือเสียที เนื่องจากมือของเราที่สัมผัสผิวหน้ามักจะมีสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียที่มองไม่เห็น ซึ่งถ้าหากมีสิวอยู่แล้วก็อาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่หัวสิวแล้วพัฒนาเป็นสิวอักเสบได้

2 . หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมบางชนิด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Olive oil และ Lanolin หรือมีส่วนประกอบของน้ำมัน เพราะจะทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนได้

3 . ล้างหน้าให้สะอาด เป็นการทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่คั่งค้างหรืออุดตันในรูขุมขนออกให้มากที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงการล้างหน้าบ่อยๆ เท่านั้น แต่ต้องล้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจะช่วยขับของเสียและน้ำมันที่ตกค้างบนผิวหน้าไม่ให้อุดตันจนกลายเป็นสิว

4 . เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักและไม่ก่อให้เกิดสิว ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าประเภท Water – based หรือ Oil – free จะเหมาะกับผิวที่เป็นสิวมากกว่า เพราะผิวหน้าของเราต้องการความชุ่มชื้นมากกว่า เพื่อเป็นการสร้างความยืดหยุ่นเต่งตึงให้กับผิวพรรณ และไม่ก่อให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย (Non – Comedogence)

5 . การมาส์กหน้าด้วยสมุนไพร เป็นการรักษาสิวอักเสบด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ โดยให้ประสิทธิภาพในการรักษาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน ดังนั้นเราจึงควรเลือกสูตรมาส์กหน้าให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเองด้วยสมุนไพรรักษาสิว

สมุนไพรรักษาสิว



1 . เปลือกมังคุด โดยใช้เปลือกมังคุดมาคั้นเอาแต่น้ำสีม่วง จากนั้นผสมกับดินสอพองที่บดเป็นผงแล้ว ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกันจนเหนียวพอสมควร จากนั้นใช้แต้มที่สิวอักเสบ หรืออาจจะใช้วิธีปั่นหรือตำเปลือกมังคุดที่ใส่น้ำอุ่นลงไปเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำสีม่วงแล้วป้ายลงบนสิวอักเสบโดยตรง วิธีนี้เราสามารถทำได้ทุกวันในช่วงที่มีสิวอักเสบ จากนั้นจึงค่อยลดลงเหลือสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง

ในเปลือกมังคุดจะมีสารสำคัญที่เรียกว่า GM – 1 ที่ช่วยระงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และยังมีสาร Xanthone ช่วยต้านการอักเสบ รวมถึงสาร Tannin ที่ช่วยสมานแผลให้หายเร็วมากขึ้น





2 . มะนาวและมะเขือเทศ คั้นมะนาวสดให้ได้น้ำมะนาวปริมาณ 1 ช้อนชา ผสมกับเนื้อมะเขือเทศ 1 ลูกใหญ่ที่ผ่านการสับหรือปั่นให้ละเอียด ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที จึงค่อยล้างออกให้สะอาด หรืออาจจะใช้แค่เพียงมะเขือเทศก็ได้ และสามารถพอกหน้าได้ทุกวันอีกด้วย

เนื่องจากในมะเขือเทศมีสาร Licopersioin มีสรรพคุณช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว และยังมีภาวะเป็นกรดอ่อนๆ ที่ไม่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย รวมถึงน้ำมะนาวที่อุดมไปด้วยกรดผลไม้อ่อนๆ (Alpha Hydroxy Acids) ช่วยให้สิวอักเสบอ่อนตัวและทำให้หัวหนองเปิดเพื่อเอาหัวสิวออกมาได้ง่าย พร้อมกับสมานแผลให้สิวลดการอักเสบและยุบตัวเร็วขึ้น




3 . ว่านหางจระเข้ เพียงแค่ใช้ต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยใช้ใบล่างมาแช่น้ำ 10 – 15 นาที เพื่อนำเอายางสีเหลืองออก จากนั้นปอกเปลือกให้เหลือแต่วุ้นใสๆ แล้วล้างน้ำอีกครั้ง เพื่อเอายางสีเหลืองออกให้หมด จึงค่อยหั่นวุ้นใสเป็นชิ้นเล็กๆ ทาบริเวณสิวอักเสบวันละ 1 – 2 ครั้ง

เพราะในว่านหางจระเข้จะมีสารสำคัญที่ชื่อ Carboxypeptidase ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบและปวดบวม รวมถึงยังมีสาร Aloctin A ที่ช่วยกระตุ้นในการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน




4 . มะละกอ ใช้เนื้อมะละอกสุกผสมกับข้าวโอ๊ตบดและน้ำผึ้ง คนให้เป็นเนื้อครีมข้นๆ แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด โดยทำสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง

โดยในเนื้อมะละกอสุกจะมีเอนไซม์ที่ชื่อ Papain และ Chymopapain ที่มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ จึงทำให้สิวอักเสบค่อยๆ ยุบตัวลงได้




5 . กระเทียม สำหรับสูตรแรกจะใช้กระเทียมกลีบใหญ่ปริมาณ 2 – 3 กลีบ บดหรือคั้นเอาแต่น้ำที่กรองเอากากออกแล้ว จากนั้นนำน้ำกระเทียมมาทาบริเวณที่เป็นสิวอักเสบและบริเวณรอบๆ ทิ้งไส้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกทันที เพราะถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้ผิวหนังของเราไหม้

ส่วนสูตรที่ 2 ให้ใช้น้ำกระเทียมปริมาณเท่าสูตรแรกผสมกับน้ำสายชูในปริมาณที่เท่ากัน  จากนั้นใช้สำลีชุบแล้วทาบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกทันทีเช่นกัน

ในกระเทียมจะมีสารสำคัญที่ชื่อ Alliin ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยต้านการอักเสบ จึงทำให้สิวอักเสบค่อยๆ ยุบตัวลงได้





6 . ขมิ้นชันกับปูนแดง ใช้ปูนแดงปริมาณ 1/2 ช้อนชา ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาป้ายที่หัวสิวทุกเช้า – เย็น โดยทำสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง

ในขมิ้นชันอุดมไปด้วยสารสำคัญกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoids) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ ส่วนปูนแดงจะช่วยทำให้แผลสมานตัวเร็วยิ่งขึ้น





7 . หอมแดง ใช้หอมแดงจำนวน 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำหรือฝานเป็นแว่นบางๆ ทาบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด โดยสามารถทาได้ทุกวันจนกว่าสิวอักเสบจะยุบตัว แต่ถ้าไม่ชอบกลิ่นของหอมแดงก็ให้นำไปแช่เย็นจัดๆ เพื่อลดกลิ่นของหอมแดงให้น้อยลง

ในหอมแดงจะมีสารสำคัญที่ชื่อ Alliin ที่จะถูกแตกทำให้เปลี่ยนเป็นสาร Allicin และ Diallyl disulfide ซึ่งมีสรรพคุณช่วยยับยั้งแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ





8 . ตำลึง มีผลการวิจัยของแพทย์แผนไทยที่พบว่า ตำลึงมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบได้ดีกว่ามะระขี้นก ดังนั้นเราจึงใช้ต้นตำลึงปริมาณ 1 กำมือ มาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำสีเขียว จากนั้นใช้สำลีชุบแล้วแปะบนสิวอักเสบ ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที จึงค่อยล้างออกให้สะอาด และยังสามารถทำได้ทุกวัน

ในตำลึงอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยลดรอยช้ำพร้อมกับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง




7 การดูแลตัวเองเพื่อรักษาสิว

1 . ดูแลระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ การขับถ่ายเป็นประจำทุกวันจะช่วยขับของเสียในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยทำให้สิวลดลงได้ เนื่องจากปริมาณสารพิษที่สะสมในร่างกายลดน้อยลงนั่นเอง

2 . ผ่อนคลายความตึงเครียด ความเครียดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น และยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำให้ร่างกายติดเชื้อง่ายมากขึ้น รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย acnes ที่ก่อให้เกิดสิวด้วยเช่นกัน

3 . พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานเป็นปกติ เนื่องจากฮอร์โมนเป็นต้นเหตุของการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน หากฮอร์โมนทำงานแปรปรวนก็จะทำให้ไปกระตุ้นต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป และก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้

4 . ใช้ครีมแต้มสิว ครีมแต้มสิวจัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่ควรซื้อจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรควบคุม เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางชนิดเป็นยาที่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงและควรอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเราสามารถแบ่งครีมแต้มสิวอักเสบออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้




กลุ่มสารสกัดจากธรรมชาติ ปัจจุบันมีการวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดจากธรรมชาติมากขึ้น อย่างเช่นครีมที่สกัดมาจากเปลือกมังคุด ซึ่งมีสรรพคุณในด้านการลดอักเสบ และไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา รวมถึงความเสี่ยงต่ออาการแพ้น้อยอีกด้วย

กลุ่มที่มีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เหมาะสำหรับสิวหัวหนองที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ทั้ง P.acnes, Staphylococci หรือ Streptococci โดยควรต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเภสัชกรหรือแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการดื้อยาหรืออาการแพ้ยาที่สามารถก่อให้เกิดการอักเสบและบวมแดงได้

กลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ หรือที่เรียกกันว่า “เรตินอยด์” ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะช่วยลดการอักเสบและลดการขับน้ำมันส่วนเกิน  จึงสามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของการอุดตันจากสิวได้เป็นอย่างดี แต่มีข้อเสียตรงที่จะทำให้ผิวหนังแห้งระคายเคืองหรือลอกเป็นขุย

5 . ใช้ยาชนิดรับประทาน ยาที่ใช้รับประทานเพื่อรักษาสิวอักเสบสามารถช่วยลดการอักเสบได้ แต่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น

กลุ่มยาปฏิชีวนะ ยาในกลุ่มนี้จะช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes รวมถึงเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ ซึ่งจะต้องให้แพทย์เป็นผู้คำนวณขนาดและชนิดของยาที่ใช้ เนื่องจากเมื่อรับประทานแล้วจะถูกนำมาทำลายที่ตับที่อาจจะก่อให้เกิดอาการตับอักเสบได้ ในบางรายอาจจะส่งผลถึงระบบภูมิคุ้มกันหรือทำลายไขกระดูก ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Amoxicillin, Clindamycin, Tetracycline หรือ Doxycycline

กลุ่มยาอนุพันธ์วิตามินเอ เรียกกันว่า Isotretinoin ซึ่งออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยาทากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ โดยจะออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างน้ำมันจากต่อมไขมัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย P.acnes กลุ่มยาชนิดนี้จะขับออกทางตับที่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากยากลุ่มนี้ส่งเสริมให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูงและทำให้เลือดออกง่าย จึงไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์

นอกจากนี้ยังมีอาการข้างเคียงอื่นๆ ระหว่างทานยากลุ่มนี้อย่างเช่น ภาวะซึมเศร้า ตาแห้ง ปากแห้ง และทำให้เกิดภาวะตับอักเสบได้

6 . ใช้ยาชนิดฉีดเพื่อรักษาสิวอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้สิวอักเสบยุบตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมสภาพผิวให้พร้อมรับวันสำคัญที่ใกล้จะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน งานรับปริญญา หรือแม้แต่การไปสมัครงาน โดยวิธีการรักษานั้นจะใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid) ฉีดเข้าไปในบริเวณสิวอักเสบ ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งวัน

ข้อดีของยาฉีดสิวอักเสบ ทำให้สิวยุบตัวลงอย่างรวดเร็วและป้องกันการเกิดหลุมสิว โดยที่ไม่ต้องรอให้สิวสุกแล้วเอาหนองออก

ข้อเสียของยาฉีดสิวอักเสบ การฉีดยาสเตียรอยด์ไม่สามารถทำให้สิวหายขาดได้ เนื่องจากไม่ใช่วิธีการรักษาที่ต้นเหตุนั่นเอง เพียงแต่ช่วยลดการอักเสบเท่านั้น โดยที่ไม่ได้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ดังนั้นจึงมีโอกาสจะกลับมาเป็นซ้ำบริเวณเดิมอีกได้เรื่อยๆ เพราะหัวสิวนั้นยังฝังตัวอยู่ลึกและกลายเป็นไตแข็งๆ และสามารถลุกลามหรืออักเสบมากขึ้น หากเครื่องมือที่ใช้มีความสะอาดไม่เพียงพอ



นอกจากนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากถ้าใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดยุบตัวลงไปด้วย กลายเป็นหลุมบนใบหน้าแทน แต่ถ้าฉีดน้อยเกินไปก็ไม่สามารถทำให้สิวยุบได้ทันใจ




7 . การใช้เลเซอร์ มีผลการวิจัยที่พบว่าเชื้อแบคทีเรีย acnes จะมีการสังเคราะห์เม็ดสีที่เรียกว่า “พอร์ไฟลิน” (Porphyrins) เมื่อใช้แสงเลเซอร์ยิงเข้าไปที่พอร์ไฟลิน ก็จะทำให้เชื้อแบคทีเรียนั้นตาย และพอแบคทีเรียมีปริมาณลดน้อยลง การอักเสบของสิวก็จะลดตามลงไปด้วย แต่การรักษาสิวด้วยวิธีนี้ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูงพอสมควร

ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีใดที่สามารถรักษาสิวอักเสบให้หายขาดได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลผิวพรรณขั้นพื้นฐานอย่างเช่นการรักษาความสะอาด การรับประทานอาหาร และยังมีปัจจัยอื่นๆ

อย่างเช่นลักษณะผิวพรรณ ฮอร์โมน และกรรมพันธุ์ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อมีปัญหาสิวเกิดขึ้นกับตัวเรา ก็ไม่ควรไปซื้อยาทาหรือรับประทานเอง แต่ควรไปพบแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกร เพื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยลดจำนวนสิวที่มีให้น้อยลงได้ค่ะ





ที่มา: patcharapa

เรียบเรียงโดย โซดา

ขอบคุณที่ติดตามข่าวสาร : ยิ้มรับ สุขภาพ นะคะ


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีทำข้าวหมาก

ปัสสาวะเป็นฟอง อันตรายกว่าที่คิด

ข้าวหมากอาหารไทยประโยชน์เพี๊ยบ