เตือน"หนานเฉาเหว่ย"แฝงภัย พบผู้ป่วยเบาหวานกินติดต่อหลายวันเกิดอาการเกือบหมดสติน้ำตาลในเลือดต่ำ

เตือนกิน “ป่าช้าเหงา” หรือ “หนานเฉาเหว่ย” ปริมาณมากหวังคุมเบาหวาน เสี่ยงอันตรายถึงตาย พบผู้ป่วยซดน้ำป่าช้าเหงา จนช็อก หามส่งโรงพยาบาล แนะอย่ากินต่อเนื่อง เพราะเป็นยาเย็น...






จากกระแสความนิยมของประชาชนในการรับประทาน ป่าช้าเหงา หรือ หนานเฉาเหว่ย เพื่อหวังลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ล่าสุดภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ เภสัชกรชำนาญการศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ออกมาเตือน ระบุว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้พบผู้ป่วยเพศชาย อายุ 64 ปี มีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการน้ำตาลตก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดเหลือเพียง 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จากเดิมที่เคยมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 400 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยมาด้วยอาการหน้ามืด เหนื่อยมากขึ้น เหงื่อออก ใจสั่น อ่อนแรง แต่ยังไม่หมดสติ จากการสอบถามพบว่าผู้ป่วยได้รับประทานป่าช้าเหงา จากคำแนะนำของเพื่อนว่าป่าช้าเหงา ช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด แต่ไม่รู้วิธีการรับประทาน



ทั้งนี้ผู้ป่วยรายดังกล่าวได้นำใบป่าช้าเหงา จำนวน 10 ใบต้มกับน้ำ 1 กา ในประมาณ 1 ลิตรและใช้เวลาในการเคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง และเริ่มรับประทานเมื่อต้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา เป็นเวลา 7 วันโดยรับประทานครั้งละ 1 แก้ว เช้า และเย็น และหยุดรับประทาน 7 วัน หลังจากนั้นเริ่มดื่มอีกครั้งในวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยในวันที่เกิดเหตุผู้ป่วยได้ฉีดยาเบาหวานมื้อเช้า พร้อมทั้งรับประทานยาเบาหวานก่อนอาหาร ร่วมกับจิบน้ำป่าช้าเหงา ไปประมาณ 3 แก้วกาแฟ และกินข้าวเช้าตามปกติ



หลังจากนั้นเวลาประมาณเที่ยงกว่า ผู้ป่วยเริ่มมีอาการน้ำตาลตก จึงเรียกญาติที่มาพบเหตุการณ์ให้ช่วยนำส่ง รพ. ซึ่งช่วงที่รับประทานผู้ป่วยรู้สึกปัสสาวะบ่อย ขาที่เคยบวมยุบลง ค่าความดันโลหิตปกติตัวบนปกติจะอยู่ประมาณ 170 มิลลิเมตรปรอท เหลือเพียง 110 มิลลิเมตรปรอทเท่านั้น


“ขอฝากเตือนผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อย่างความดัน เบาหวาน ควรใช้ยาตามแพทย์สั่งเป็นหลัก ผู้ป่วยควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนรับประทานสมุนไพร เนื่องจากปัจจัยในแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน”


ส่วนขนาดรับประทานป่าช้าเหงาที่แนะนำ เช่น ใช้เป็นอาหารโดยรองกระทงห่อหมกแทนใบยอ ยำดอกขจรใส่ดอกป่าช้าเหงา ซึ่งคนพื้นบ้านนิยมกินช่วงเปลี่ยนฤดู ปลายฝนต้นหนาว เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ไม่ให้เจ็บป่วย โดยจะนำใบป่าช้าเหงามาลวกน้ำร้อน ก่อนรับประทาน เพื่อลดความขมและลดฤทธิ์ยา


"กรณีกินเป็นยา เช่น เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือกินบำรุงร่างกาย แนะนำให้กินวันละ 1-2 ใบ หรือ 2-3 วันกินที ไม่แนะนำให้กินทุกวัน หรือกินต่อเนื่อง เพราะเป็นยาเย็น อาจทำให้ตับเย็น ร่างกายเย็น ส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้ท้องอืดง่าย มือเท้าเย็น อ่อนเปลี้ยเพลียแรง และห้ามใช้ในผู้ป่วยที่กินยาละลายลิ่มเลือด ชื่อวาร์ฟาริน เพราะอาจเสริมฤทธิ์ยา ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับและไต เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยในการใช้ในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าว"



สำหรับผู้ป่วยที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิตได้ดีอยู่แล้วด้วยยาแผนปัจจุบัน ไม่แนะนำให้กินป่าช้าเหงา เพราะสมุนไพรไม่ได้ทำให้โรคดังกล่าวหายขาด และอาจเสริมฤทธิ์ยาแผนปัจจุบันจนเกิดอันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้.


Cr.ไทยโพส

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามข้อมูลยิ้มรับสุขภาพ ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงนะคะ

แนวทางปฏิบัติ
1 แชร์ = 1 ธรรมทาน แชร์เยอะๆได้บุญจ้า

โปรดทราบ!
ถ้าชอบ ฝากกดติดตามเพจ กันด้วย ถ้าข้อมูลนี้เป็นประโยชน์ และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆคน

อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียว และอย่าลืมส่งให้กับคนที่คุณรักได้อ่านกันจ้า



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีทำข้าวหมาก

ปัสสาวะเป็นฟอง อันตรายกว่าที่คิด

ข้าวหมากอาหารไทยประโยชน์เพี๊ยบ